เหยื่อปลอมตระกูลหนึ่งที่มักถูกหยิบใช้เมื่อถึงคราวที่อยากได้ปลาอย่างมากๆสำหรับผมก็คือ เหยื่อตระกูลมิโน (Minnow-bait) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เหยื่อนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะอยู่ 3 อย่าง ก็คือ 1. เป็นเหยื่อที่รูปร่างลักษณะเหมือนกับเหยื่อที่มีในธรรมชาติมาก ลักษณะทั่วไปของเหยื่อมิโน จะมีรูปทรงเพรียวยาวคล้ายกับปลาเหยื่อที่ปลาล่าเหยื่อในเกือบทุกพื้นที่มักใช้เป็นอาหารอยู่แล้ว 2. มันเป็นเหยื่อที่มีวิธีใช้ที่หลากหลายกว้างขวาง คือจะแค่กรอเฉยๆก็เกิดแอ็คฌั่น หรือแม้แต่จะใส่เทคนิคการเจิร์ค, การหยุด ก็ยังเรียกร้องความสนใจจากปลาล่าเหยื่อได้ดี อีกทั้งยังสามารถใช้ได้ในอัตรากรอช่วงกว้าง คือ ได้ตั้งแต่เร็วมาก จนถึงกรอช้าจนเหยื่อหยุด มันจัดเป็นเหยื่อที่ปลาล่าเหยื่อเห็นแล้วจึงกัด แต่ด้วยคลื่นสั่นสะเทือนที่มันสร้างได้ บางครั้งมันก็เป็นเหยื่อที่ถูกกัดเพราะปฏิกิริยาตอบโต้ฉับพลันของปลาล่าเหยื่อเหมือนกัน 3. เมื่อเทียบอัตราเฉลี่ยของขนาดปลาที่เข้ากัด ปลาที่กัดเหยื่อตระกูลมิโนนี้ก็ยังมีขนาดเฉลี่ยใหญ่กว่าปลาที่กัดเหยื่อตระกูลพลาสติกนิ่ม ปลาเล็กมักจะกัดเหยื่อพลาสติกนิ่มอย่างไม่ลังเล ในขณะที่ปลาที่มีขนาดใหญ่มักจะเลือกกัดเหยื่อที่มีลีลาการโยกส่ายที่รุนแรงกว่า ซึ่งเหยื่อมิโนเป็นเหยื่อที่เป็นอย่างนั้น
และด้วยความที่มิโนเป็นเหยื่อที่มีวิธีการใช้ที่หลากหลาย ในทางเดียวกันนี้เหยื่อมิโนจึงมีความหลากหลายไปด้วย เป็นต้นว่า มีเหยื่อที่ถูกออกแบบใช้งานได้ในช่วงระดับน้ำที่ต่างกัน คือ ดำตื้น กลางน้ำ และดำลึก ซึ่งนักตกปลาสามารถสังเกตได้ว่าเหยื่อมิโนตัวไหนจะทำงานในช่วงน้ำระดับใดได้จากลิ้นของเหยื่อตัวนั้นๆ ถ้าเหยื่อตัวไหนมีลิ้นสั้น เหยื่อตัวนั้นก็จะทำงานในน้ำที่ตื้น และหากเหยื่อตัวไหนมีลิ้นที่ยาวกว่าเหยื่อตัวนั้นก็จะดำลงไปในระดับน้ำที่ลึกกว่า และข้อดีข้อหนึ่งของเหยื่อลิ้นยาวก็คือ เมื่อเหยื่อดำลงไปกระทบกับหินใต้น้ำ โดยมากเหยื่อจะพลิกตัวหนีหินนั้นก่อน ถือเป็นการป้องกันการติดสวะได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้เหยื่อมิโนยังถูกออกแบบโดยเน้นที่ความถ่วงจำเพาะของเหยื่อเอาไว้ด้วย กล่าวคือเหยื่อมิโนนี้จะถูกออกแบบความลอย-จมไว้ถึง 3 อย่าง คือ แบบลอย(Floating type), แบบไม่ลอยไม่จม(Suspending type), แบบจม(Sinking type) ซึ่งนักตกปลาสามารถรู้ได้ว่าเหยื่อตัวไหนมีความลอย-จมอย่างไรได้จากเอกสารกำกับเหยื่อ หรือจากการทดสอบโดยการกรอเหยื่อเข้าระดับหนึ่งแล้วหยุดเหยื่อไว้เฉยๆ แล้วสังเกตการลอย-จมของเหยื่อนั้น ข้อดีของเหยื่อแบบลอยคือ เมื่อเหยื่อปะทะกับอุปสรรคเราเพียงหยุดกรอ เหยื่อก็จะลอยขึ้นหลีกอุปสรรคนั้น แต่ในแบบเหยื่อจม เราสามารถเช็คระดับหน้าดินได้ว่ามีความลึกระดับใด และเราสามารถส่งเหยื่อลงไปได้ถึงระดับหน้าดินได้ ส่วนเหยื่อแบบไม่ลอยไม่จมนั้น เราสามารถหยุดเหยื่อไว้ในระดับที่เรากรอเรียกความสนใจ มีลักษณะเลียนแบบเหยื่อธรรมชาติได้
และด้วยความหลากหลายเหล่านี้ มันทำให้เหยื่อมิโนสามารถใช้งานได้ในพื้นที่เกือบทุกลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นบ่อตกปลา, เขื่อน, หรือแม้แต่แม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหล ส่วนในเรื่องของทัศนะวิสัยของน้ำไม่ว่าจะน้ำใสหรือน้ำขุ่น เหยื่อมิโนก็ยังสามารถเรียกร้องความสนใจจากปลาล่าเหยื่อได้ดีทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากเราคิดจากมุมของธรรมชาติของปลาเหยื่อ เหยื่อมิโนเลียนสภาพของปลาเหยื่อได้เหมือนมากในสภาพน้ำใส คือใช้เหยื่อแบบไม่ลอยไม่จม กรอมาเรื่อยๆแล้วก็หยุด สภาพนี้จะเลียนลักษณะทางธรรมชาติของปลาซิวได้ดี ปลาล่าเหยื่ออาจสนใจตั้งแต่ตอนที่เหยื่อเคลื่อนที่แล้วตามมากัดเมื่อเหยื่อหยุดก็ได้
สำหรับเหยื่อมิโนลอย พื้นที่หนึ่งที่ผมมักจะเลือกใช้ก็คือ หมายที่เป็นตอไม้แนวตั้ง หรือเป็นหมายแนวสาหร่ายใต้น้ำ หมายแบบนี้ผมจะกรอเหยื่อเข้าไปเฉียดใกล้กับแนวตอไม้ แล้วปล่อยเหยื่อให้ลอยขึ้นก่อนที่จะเจิร์คเหยื่ออีกสักครั้ง แล้วค่อยกรอต่อ เช่นเดียวกันกับหมายที่เป็นแนวสาหร่าย ผมมักจะตีเหยื่อเฉียดนอกแนวสาหร่าย แล้วหากเจอช่วงที่เป็นสาหร่ายโปร่งผมจะปล่อยเหยื่อลอยขึ้น ปลาล่าเหยื่ออย่างปลากระสูบมักจะเข้าฉวยจังหวะที่เหยื่อลอยขึ้นระดับจะพ้นแนวสาหร่าย
ส่วนในพื้นที่น้ำขุ่น สีและแรงสั่นสะเทือนจะช่วยเรียกร้องความสนใจจากปลาล่าเหยื่อ การหยุดเหยื่อจะทำให้ปลาล่าเหยื่อสามารถระบุตำแหน่งของตัวเหยื่อได้แม่ยำมากขึ้น
(โปรดติดตามในตอนต่อไป)